View : 1,681  ครั้ง

จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทางสังคมศาสตร์ รุ่นที่ 2

หลักการและเหตุผล

       ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ในปีคริสต์ศักราช 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรฝั่งยุโรปได้นำ ผู้ที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรง หนึ่งในนั้นคือ แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันที่ทำ การทดลองผู้ต้องขังในค่ายกักกัน จนทำให้มีคนบาดเจ็บ เสียชีวิตจำนวนมาก ถือว่าเป็นเหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด เนื่องจากเป็นการทดลองทางการแพทย์กับนักโทษโดยไม่ได้ขอความยินยอมแต่อย่างใด ด้วยการให้ยุงกัดบ้างซึ่งมีนักโทษจำนวนมากที่ถูกทดลองกับการรักษาไข้มาลาเลีย หรือการโยนลงในถังน้ำแข็งบ้าง การฉีดยาต่างๆ โดยไม่สมัครใจ มีการทดลองผ่าตัด การทดลองแก๊สมัสตาร์ด รวมถึงการทดลองทางการแพทย์อื่นๆ ซึ่งสร้างความทรมาณให้แก่ผู้ที่ถูกทดลองอย่างมาก กระบวนการพิจารณาคดีในครั้งนั้นได้นำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ศาลทหารระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นมาพิเศษ ในเมือง นูเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ที่เรียกว่า การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก (Nuremberg trials) ทำให้ในเวลาต่อมานำไป สู่การร่างประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์ก หรือ Nuremberg Code (1947) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสินคดี ทางแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ กฎนูเรมเบิร์กจึงถือว่าเป็นหลักการสากลทางจริยธรรมที่ได้รับการยอมรับเป็น ครั้งแรก
        จากนั้นจึงเริ่มมีการกำหนดจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวกับคนให้มีความชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ Declaration of Helsinki (1964) ถูกกำหนดโดยสมัชชาของแพทย์สมาคมโลก หรือ The Belmont report (1979) นำเสนอโดยคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการคุ้มครองอาสาสมัครในการวิจัยทางชีวเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา(The National Commission for the Protection of Human Subjects of Biomedical and Behavioral Research) ถือได้ว่าเป็นหลักการที่มีการใช้อย่างแพร่หลายอย่างมาก เนื่องจากเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการกำหนดหลักการพื้นฐานด้านจริยธรรมการวิจัยในคน ประกอบไปด้วย หลักความเคารพในบุคคล หลักผลประโยชน์ และหลักความยุติธรรม รวมถึง CIOMS Guideline (1993) เป็นแนวทางการวิจัยในคนทางชีวเวชศาสตร์ซึ่งต่อมามีการปรับปรุงอยู่หลายครั้งล่าสุดปีคริสต์ศักราช 2016 มีการปรับปรุงและเพิ่มหลักจริยธรรมการวิจัยลงไปมากขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น ยังไม่รวมขององค์การระหว่างประเทศ เช่น WHO และ UNESCO ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ไม่น้อยไปกว่าองค์การต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเรื่องจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์นั้น เป็นหลักการสากลที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ การทำงานวิจัยที่เกี่ยวกับคนจึงต้องปฏิบัติตามหลักการต่างๆ ที่ได้มีการกำหนดไว้ จึงทำให้รายงานวิจัยนั้นได้รับการยอมรับบ
        เห็นได้ว่า จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์เป็นหลักการมาตรฐานโลกที่มีมาอย่างช้านาน ถูกพัฒนามาจากการวิจัยทางการแพทย์หรือทางสาธารณสุข จนมีอิทธิพลเข้ามาเติมเต็มการวิจัยทางสังคมศาสตร์ให้คำนึงถึงหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย แม้มีการให้ความสำคัญกับจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มากขึ้นจน ก.พ.อ.กำหนดให้ผู้ขอตำแหน่งวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัย งานวิจัยที่ยื่นให้พิจารณานั้นจะต้องผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จึงจะสามารถยื่นขอตำแหน่งได้ ทำให้มีความเข้มข้นและเข้มงวดมากขึ้น ยังไม่นับรวมวารสารระดับนานาชาติจำนวนมากกำหนดว่าบทความที่จะส่งให้พิจารณาเพื่อตีพิมพ์ ต้องผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ก่อน และหลายวารสารก็ปฏิเสธการให้ตีพิมพ์หากไม่ได้มีเลขบงชี้ว่าผ่านการรับรองจริยธรรมการวิจัยแล้ว นอกจากนี้ในการทำวิจัยทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ บางครั้งอาจมีการทำงานวิจัยที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทำให้เป็นการละเมิดผู้เข้าร่วมการวิจัยหรืออาสาสมัครที่ร่วมการวิจัยอย่างไม่มีเจตนา
       ด้วยเหตุนี้ การวิจัยในปัจจุบันหากต้องการให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลไม่ใช่เพียงแค่ผลการวิจัยได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ทางวิชาการหรือก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมเท่านั้น แต่การวิจัยนั้นจะต้องผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (Institutional Review Board: IRB) โดยผู้วิจัยต้องส่งโครงการวิจัยเพื่อการพิจารณาทางจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (Protocol Synopsis for Ethical Review) ให้คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทำการพิจารณา และทำการรับรองการจริยธรรมการวิจัย จึงสามารถดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ และระหว่างการทำวิจัยจนถึงทำการวิจัยเสร็จสิ้นก็ต้องมีการรายงานต่อคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ที่ผู้วิจัยได้ยื่นของการรับรองจึงถือว่าทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์มาตรฐานจริยธรรมการวิจัย อย่างไรก็ตามในเมื่อมีการนำหลักจริยธรรมการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในทางสังคมศาสตร์อาจมีปัญหา อุปสรรคบางประการ การเปิดพื้นที่ให้นักสังคมศาสตร์เข้ามาอบรมน่าที่จะช่วยเป็นเสียงสะท้อนให้มีการปรับการนำหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มาใช้ในทางสังคมศาสตร์มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
       สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว การเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักสังคมศาสตร์มากยิ่งขึ้น ในการที่จะทำให้มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการนำหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ไปประยุกต์ใช้ในการทำวิจัยทางสังคมศาสตร์ เพื่อให้การทำงานวิจัยนั้นมีคุณค่าและเป็นไปตามมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น จึงเห็นสมควรให้มีการอบรมเรื่อง “การอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทางสังคมศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ รุ่นที่ 1/2565” ขึ้น และหลังจากที่ได้มีการอบรมรุ่นที่ผ่านมาพบว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และยังมีผู้ประสงค์จะอบรมหลักสูตรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย จึงเห็นควรให้มีการจัดการอบรมอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเป็น การอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทางสังคมศาสตร์ รุ่นที่ 2


วัตถุประสงค์

1) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางด้านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ให้มีการนำมาใช้อย่างถูกต้องในการวิจัย ทางสังคมศาสตร์มากยิ่งขึ้น
2) เพื่อให้การทำวิจัยทางสังคมศาสตร์คำนึงถึงหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และมีการประยุกต์ใช้ใน การออกแบบการวิจัย
3) เพื่อให้มีการนำหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มาใช้ประโยชน์ในการเรียน การสอน การทำการวิจัย ทางสังคมศาสตร์
4) เพื่อฟังเสียงสะท้อนของนักสังคมศาสตร์ที่มีการนำหลักจริยธรรมการวิจัยไปปฏิบัติให้มีการปรับใช้ หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์อย่างสอดคล้องและเหมาะสมกับบริบททางสังคมศาสตร์ยิ่งขึ้น
5) เพื่อให้ผู้ผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มีวุฒิบัตรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการยื่นขอ การรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โดยวุฒิบัตรมีอายุ 2 ปี หลังจากการอบรม


ผลที่คาดว่าจะได้รับ

ผู้ผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทางสังคมศาสตร์ คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ดังนี้
1) มีความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กับการประยุกต์ทางด้านสังคมศาสตร์
2) มีความรู้ ความเข้าใจกระบวนการวิจัยในบุคคลและกลุ่มเปราะบาง การรักษาความลับของอาสาสมัครและการป้องกันอาสาสมัคร การประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ในของงานวิจัยและอาสาสมัคร
3) มีความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการและเกณฑ์การขอความยินยอมจากอาสาสมัคร ข้อควรปฏิบัติของนักวิจัยหลังผ่านการรับรองจริยธรรม และกระบวนการขอการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์
4) สามารถประยุกต์ใช้หลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ในการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น ผู้ผ่านการอบรมจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มีวุฒิบัตรเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการยื่นขอการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โดยวุฒิบัตรมีอายุ 2 ปี ภายหลังจากการอบรม


คุณสมบัติผู้เข้าร่วมการสัมมนา

1. ผู้สนใจทั่วไป ที่มีความสนใจในเรื่องจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ทางด้านสังคมศาสตร์และพฤติกรรม ศาสตร์
2. การบรรยายจะใช้ภาษาทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มาก่อน
3. สามารถเข้าร่วมการสัมมนาได้ต่อเนื่องจำนวน 1 วัน
4. ต้องชำระค่าลงทะเบียนก่อนวันอบรม


วิทยากร

chantra

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.แพทย์หญิง จันทรา กาบวัง เหล่าถาวร
ประธานมูลนิธิ SIDCER-FERCAP

wnawon

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วนาวัลย์ ดาตี๋
ประธานคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

vichit

คุณวิชิต ทองประเสริฐ
กรรมการจริยธรรมในมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์


ระยะเวลา/ตารางเวลาการฝึกอบรม

วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566 เวลา 08.30-16.30 น. (อบรมออนไลน์)
ผู้เข้ารับการอบรมจะได้วุฒิบัตร

เมื่อทำทดสอบหลังการอบรม และ ได้คะแนนผ่านตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด

โดยคะแนนหลังการทำแบบทดสอบต้องได้ร้อยละ 80 หรือ 16 ข้อจาก 20 ข้อ จึงจะมีสิทธิ์ได้ใบประกาศหรือวุฒิบัตร
การทดสอบ
1. ทดสอบ Online ระหว่างวันที่ 3-5 ธันวาคม เวลา 24.00 น.
2. หากทดสอบไม่ผ่าน สามารถทดสอบซ้ำได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ภายในเวลาที่กำหนด

วัน/เวลา รายละเอียด
วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566
8.30 - 9.00 น. ลงทะเบียน
9.00 – 9.15 น. พิธีเปิดการอบรมโดยศาสตราจารย์ ดร.อัมพร ธำรงลักษณ์
นายกสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
9.15-9.30 น. แนะนำหลักสูตร
โดย คุณวิชิต ทองประเสริฐ กรรมการจริยธรรมในมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหามกฎราชวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
09.30-12.30 น. จริยธรรมการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์, การวิจัยในกลุ่มเปราะบาง, การรักษาความลับ, การประเมินคุณประโยชน์และความเสี่ยง
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วนาวัลย์ ดาตี๋ ประธานคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
12.30-13.00 น. พักรับประทานอาหาร
13.00-14.00 น. วิวัฒนาการของจริยธรรมการวิจัย หลักจริยธรรมการวิจัยพื้นฐาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดย คุณวิชิต ทองประเสริฐ
14.00-16.00 น. กระบวนการขอความยินยอม หน้าที่ความรับผิดชอบของนักวิจัยทั้งก่อนและหลังได้รับการรับรองจริยธรรมการวิจัย ฯ และผลประโยชน์ทับซ้อน
โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.แพทย์หญิง จันทรา กาบวัง เหล่าถาวร
16.00-16.45 น. สรุปสาระสำคัญของการอบรมและทำแบบทดสอบผ่านระบบออนไลน์
โดย คุณวิชิต ทองประเสริฐ
16.45-17.00 น. พิธีปิดการอบรม โดย ศาสตราจารย์ ดร.อัมพร ธำรงลักษณ์
นายกสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
หมายเหตุ กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม
ผู้เข้ารับการอบรมจะได้วุฒิบัตร เมื่อทำการทดสอบหลังการอบรมและได้คะแนนผ่านตาม เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
โดยต้องคะแนนหลังการทำแบบทดสอบร้อยละ 80 หรือ 16 ข้อจากทั้งหมด 20 ข้อจึงจะมีสิทธิ์ได้ใบประกาศหรือวุฒิบัตร

สถานที่

ระบบออนไลน์


จำนวนผู้เข้าอบรม

100 คนขึ้นไป


ค่าลงทะเบียน

500 บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)
1.กรุณาชำระเงินโดยการโอนเงินผ่าน บัญชี ธนาคารกรุงไทย สาขามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์
ชื่อบัญชี บริจาคเพื่อสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์ โดยนายบริบูรณ์ ฉลอง เลขที่บัญชี 678-2-91258-9

2.เมื่อชำระเงินแล้ว ลงทะเบียนและส่งหลักฐานการชำระเงินในระบบ


📰 ขณะนี้มีผู้สนใจสมัครเข้ารับการอบรมแล้ว เป็นจำนวนมาก
ทางสมาคมฯ จึงขยายเวลารับสมัครไปจนถีงวันสุดท้าย วันที่ 1 ธันวาคม 2566
โปรดลงทะเบียน...ด่วน


ลงทะเบียนและส่งหลักฐานการชำระเงิน


ลงทะเบียนและส่งหลักฐานการชำระเงิน


หรือ

ส่งหลักฐานการชำระเงินของท่าน พร้อมข้อมูล ชื่อ-สกุล เบอร์โทร. และ Email Address ไปที่...
dr.pichate.p@gmail.com


ท่านที่ลงทะเบียนในวันที่ 3 ตุลาคม 2566 จำนวน 5 ท่าน โปรดกรุณาติดต่อผู้ดูแลหลักสูตร เนื่องจากระบบลงทะเบียนในวันดังกล่าว มี Error
เก็บแต่หลักฐาน การชำระเงิน ไม่ได้เก็บข้อมูล Email และ เบอร์โทร. ของท่าน


กรณีต้องการติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
ดร.พิเชษฐ พิณทอง
ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
Email : dr.pichate.p@gmail.com
เบอร์มือถือ 097-447-5545


สมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
Email : thaipaat@gmail.com
เบอร์มือถือ 062-842-4456